จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

สถานที่ท่องเที่ยวจ.กาฬสินธุ์


สถานที่ท่องเที่ยว จ.กาฬสินธุ์
สถานที่น่าสนใจ
อำเภอเมืองกาฬสินธุ์อนุสาวรีย์พระยาชัยสุนทร (เจ้าโสมพะมิตร) ตั้งอยู่หน้าที่ทำการไปรษณีย์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นอนุสาวรีย์หล่อด้วยสัมฤทธิ์เท่าตัวจริงยืนบนแท่นมือขวาถือกาน้ำ มือซ้ายถือดาบอาญาสิทธิ์ ชาวกาฬสินธุ์ทุกหมู่เหล่าได้สละทรัพย์ก่อสร้างอนุสาวรีย์ เพื่อเป็นการแสดงกตเวทิตาต่อผู้ให้กำเนิดเมืองกาฬสินธุ์
วัดกลาง ตั้งอยู่ใกล้กับอนุสาวรีย์พระยาชัยสุนทร วัดกลางเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ภายในวัดมีพระอุโบสถที่สร้างต่อเติมจากพระอุโบสถหลังเก่า เป็นอาคารทรงไทยประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา บานประตูไม้แกะสลักเป็นภาพพุทธประวัติ ส่วนหน้าต่างแกะสลักเป็นชาดกเรื่องต่าง ๆ ด้านหน้าและด้านหลังพระอุโบสถมีทวารบาลปูนปั้น ภายในพระอุโบสถเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระเวสสันดรชาดก บริเวณศาลาใกล้กับพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ดำ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๒๐ นิ้ว เป็นพระพุทธรูปลักษณะงดงามที่พระแท่นมีรอยจารึกเป็นภาษาไทยโบราณ สร้างในสมัยพระเจ้าคูนาขาม พระชัยสุนทร (กิ่ง) ได้นำมาเป็นพระพุทธรูปศรีเมือง เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ หากปีใดฝนแล้งประชาชนชาวเมืองจะอัญเชิญพระพุทธรูปออกแห่ขอฝนเสมอ
นอกจากพระพุทธรูปองค์ดำแล้ว วัดกลางยังมีรอยพระพุทธบาทจำลองขนาดกว้าง ๑ ศอก ยาว ๔ ศอก ทำด้วยศิลาแลง สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยละว้าปกครอง เดิมอยู่ริมลำปาวใกล้แก่งสำโรงแต่ต่อมาตลิ่งลำปาวพังเข้ามาทุกปี ชาวเมืองเกรงจะถูกน้ำเซาะทำลาย จึงได้อัญเชิญมาไว้ที่วัดนี้
วัดศรีบุญเรือง (วัดเหนือ) อยู่ถัดจากวัดกลางเป็นวัดเก่าแก่ในเขตเทศบาลเมือง ซึ่งมีเสมาจำหลักเมืองฟ้าแดดสงยางจำนวนหนึ่งเก็บรักษาไว้ โดยปักไว้รอบพระอุโบสถ หลักเสมาจำหลักที่สวยงามคือ หลักที่จำหลักเป็นรูปเทวดาเหาะอยู่เหนือปราสาททำเป็นซุ้มเรือนแก้ว (ศิลปะแบบทวาราวดี) ซ้อนกันเป็น ๒ ชั้น ล่างสุดมีรูปกษัตริย์ พระมเหสี และพระโอรส
พิพิธภัณฑ์ของดีจังหวัดกาฬสินธุ์ ตั้งอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ (หลังเดิม) ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ (นายชัยรัตน์ มาปราณีต) ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นศูนย์รวมของดีเมืองกาฬสินธุ์ จัดเป็นห้องบรรยายสรุป ห้องเจ้าเมือง ห้องศาสนา ห้องเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ห้องวิถีชีวิตความเป็นอยู่ชาวผู้ไท ห้องวิจิตรแพรวา ห้องศึกษาค้นคว้าเรื่องหัตถกรรม ห้องสาธิตจำหน่ายผ้าไหมแพรวา และของที่ระลึกพื้นเมือง โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจเข้าชมทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา ๐๘.๓๐–๑๗.๐๐ น.ไม่เสียค่าเข้าชม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ โทร. ๐ ๔๓๘๑ ๕๘๐๕-๖
พุทธสถานภูปอ ตั้งอยู่ในวัดอินทร์ประทานพร ตำบลภูปอ ห่างจากจังหวัดกาฬสินธุ์ประมาณ ๒๘ กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข ๒๑๓ กิโลเมตรที่ ๕๙ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางบ้านโจด-บ้านนาจารย์-นาคอกควาย ประมาณ ๑๖ กิโลเมตร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปโบราณปางไสยาสน์ ฝีมือช่างสมัยทวาราวดี จำหลักบนหน้าผา ๒ องค์ เป็นที่เคารพบูชาของชาวจังหวัดกาฬสินธุ์และใกล้เคียง องค์แรกประดิษฐานอยู่บนเชิงเขาทางขึ้น องค์ที่ ๒ ประดิษฐานอยู่บนภูปอ นอกจากภูปอจะเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางไสยาสน์อันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังมีทิวทัศน์ตามธรรมชาติที่สวยงามเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ ประชาชนในท้องถิ่นจะจัดงานสมโภชพระพุทธไสยาสน์ขึ้นประมาณเดือนเมษายนของทุกปี
บ้านพ่อครูเปลื้อง ฉายรัศมี ตั้งอยู่เลขที่ ๒๒๙/๔ ถนนเกษตรสมบูรณ์ ตำบลกาฬสินธุ์ เป็นสถานที่ครูเปลื้อง ฉายรัศมี ศิลปินแห่งชาติ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๙ สาขาศิลปะการแสดงด้านดนตรีพื้นบ้านได้สร้างเถียงนา(เพิง)ขึ้นมาเป็นโรงเรียนดนตรี ภายในมีการจัดแสดงการผลิตเครื่องดนตรีพื้นบ้าน อาทิ พิณ แคน ซอ และโปงลาง ตลอดจนเป็นที่พักสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่เดินทางมาจากต่างถิ่นเพื่อมาเรียนรู้เรื่องดนตรี ครูเปลื้องถือเป็นเกียรติภูมิของพี่น้องชาวกาฬสินธุ์และเป็นต้นตำนานโปงลางกาฬสินธุ์ อันเป็นดนตรีพื้นบ้านอีสานที่ท่านได้สืบสานมายาวนานกว่า ๒๐ ปี และยังคงสร้างสรรค์งานดนตรีพื้นบ้านอีสานใหม่ ๆ ขึ้นอีก เช่น หมากกะโหล่ง ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้กระดิ่งแขวนคอวัวร้อยเข้าด้วยกัน
อำเภอกมลาไสย
เมืองฟ้าแดดสงยาง ตั้งอยู่ที่บ้านเสมา ตำบลหนองแปง ห่างจากตัวจังหวัด ๑๙ กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข ๒๑๔ (กาฬสินธุ์-ร้อยเอ็ด) ระยะทาง ๑๓ กิโลเมตร ถึงอำเภอกมลาไสย เลี้ยวขวาตามทางหลวงหมายเลข ๒๓๖๗ ระยะทาง ๖ กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาเข้าซอยอีกประมาณ ๔๐๐ เมตร เมืองฟ้าแดดสงยางหรือที่เรียกเพี้ยนเป็นฟ้าแดดสูงยาง บางแห่งเรียกเมืองเสมาเนื่องจากแผนผังของเมืองมีรูปร่างคล้ายใบเสมา เป็นเมืองโบราณที่มีคันดินล้อมรอบ ๒ ชั้น ความยาวของคันดินโดยรอบประมาณ ๕ กิโลเมตร คูน้ำจะอยู่ตรงกลางคันดินทั้งสอง จากหลักฐานโบราณคดีที่ค้นพบ ทำให้ทราบว่ามีการอยู่อาศัยภายในเมืองมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ แล้วได้เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นในสมัยทวาราวดีราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๕ ดังหลักฐานทางพุทธศาสนาที่ปรากฏโดยทั่วไปทั้งภายในและนอกเมือง เช่น ใบเสมาหินทราย จำหลักภาพเรื่องชาดก และพุทธประวัติจำนวนมาก บางส่วนเก็บไว้ที่วัดโพธิ์ชัยเสมารามซึ่งอยู่ภายในเมือง บางแห่งอยู่ในตำแหน่งดั้งเดิมที่พบ และบางส่วนก็นำไปเก็บรักษาและจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น นอกจากนั้นยังมีซากศาสนสถานกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปภายในเมืองและนอกเมือง เช่น พระธาตุยาคู และกลุ่มเจดีย์บริเวณศาสนสถานที่โนนวัดสูง โนนฟ้าหยาด และโนนฟ้าแดด กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเมืองฟ้าแดดสงยางเป็นโบราณสถานเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๔๗๙
พระธาตุยาคู หรือพระธาตุใหญ่ เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฟ้าแดดสงยาง ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมก่อด้วยอิฐปรากฏการก่อสร้าง ๓ สมัยด้วยกันคือ ส่วนฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุม มีบันไดทางขึ้น ๔ ทิศ มีปูนปั้นประดับสร้างในสมัยทวาราวดี ถัดขึ้นมาเป็นฐานรูปแปดเหลี่ยมซึ่งสร้างซ้อนทับบนฐานเดิมเป็นรูปแบบเจดีย์ในสมัยอยุธยา ส่วนองค์ระฆังและส่วนยอดสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ รอบ ๆ องค์พระธาตุพบใบเสมาแกะสลักภาพนูนต่ำเรื่องพุทธประวัติ ชาวบ้านเชื่อกันว่าในองค์พระธาตุบรรจุอัฐิของพระเถระผู้ใหญ่ที่ชาวเมืองเคารพนับถือ สังเกตได้จากเมื่อเมืองเชียงโสมชนะสงคราม ได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองฟ้าแดดแต่ไม่ได้ทำลายพระธาตุยาคู จึงเป็นโบราณสถานที่ยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ชาวบ้านจะจัดให้มีงานประเพณีบุญบั้งไฟเป็นประจำทุกปีในเดือนพฤษภาคม เพื่อเป็นการขอฝนและความร่มเย็นให้กับหมู่บ้าน
วัดโพธิ์ชัยเสมาราม หรือ วัดบ้านก้อม ตั้งอยู่บ้านเสมาตรงข้ามกับทางเข้าเมืองฟ้าแดดสงยาง เป็นวัดเก่าที่ชาวบ้านได้นำใบเสมาหินที่ขุดพบมารวบรวมไว้จำนวนมาก มีใบเสมาหินขนาดใหญ่ที่อาจถือเป็นเอกลักษณ์ของอีสานเนื่องจากแทบจะไม่พบในภาคอื่นเลย ใบเสมาที่พบในเมืองฟ้าแดดสงยางมีความโดดเด่นคือ นิยมแกะสลักภาพเล่าเรื่องราวพุทธประวัติและชาดก มีใบเสมาจำลองหลักที่งดงามและสมบูรณ์ที่สุด สลักภาพพุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากกรุงกบิลพัสดุ์พร้อมด้วยพระเจ้า
สุทโธทนะ พระราหุล และนางยโสธราพิมพา เข้าเฝ้าแสดงสักการะอย่างสูงสุดด้วยการสยายพระเกศาเช็ดพระบาทองค์พระพุทธเจ้า เรียกเสมาหินภาพ “พิมพาพิลาป” ซึ่งใบเสมาหลักนี้ของจริงอยู่ที่พิพิธภัณฑ-สถานแห่งชาติขอนแก่น

อำเภอยางตลาด
เขื่อนลำปาว เป็นเขื่อนซึ่งสร้างปิดกั้นลำน้ำปาว และห้วยยาง มีบริเวณเขตติดต่อระหว่างตำบลลำปาว อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ตำบลหนองบัว อำเภอหนองกุงศรี และตำบลเว่อ อำเภอยางตลาด เขื่อนลำปาวเป็นเขื่อนดินสูงจากท้องน้ำ ๓๓ เมตร สันเขื่อนยาว ๗.๘ เมตร กว้าง ๘ เมตร เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ เพื่อปิดกั้นลำน้ำปาวและห้วยยางที่บ้านหนองสองห้อง ตำบลลำปาว อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำแฝดทางด้านเหนือเขื่อน จึงได้ขุดร่องเชื่อมระหว่างอ่างทั้งสอง เก็บน้ำได้ ๑,๔๓๐ ล้านลูกบาศก์เมตร สร้างขึ้นเพื่อบรรเทาอุทกภัยและเพื่อการเกษตรโดยเฉพาะ นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจได้แก่ หาดดอกเกด
การเดินทาง ใช้ทางหลวงหมายเลข ๒๑๓ (กาฬสินธุ์-มหาสารคาม) กิโลเมตรที่ ๓๓–๓๔ เลี้ยวขวาเข้าเขื่อนลำปาวตามถนนลาดยาง ๒๖ กิโลเมตร
สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าลำปาว (สวนสะออน) ตั้งอยู่ใกล้กับอ่างเก็บน้ำเขื่อนลำปาว มีเนื้อที่ ๑,๔๒๐ ไร่ มีสภาพเป็นป่าเต็งรังหรือป่าแดงที่ค่อนข้างสมบูรณ์ มีสวนสัตว์เปิดที่มีสัตว์ป่าที่เป็นเอกลักษณ์ของสวนสะออน คือ วัวแดง ซึ่งเป็นสัตว์หายากมีอยู่มากกว่า ๑๓๐ ตัว นอกจากนั้นยังมีสัตว์ชนิดอื่น ๆ ได้แก่ ชะนี ลิง นกชนิดต่าง ๆ ทั้งที่เลี้ยงไว้และนกที่มาตามฤดูกาล มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้นักท่องเที่ยวได้เดินชม สวนสะออนเปิดให้เข้าชมทุกวันเวลา ๐๗.๐๐-๑๘.๐๐ น. ไม่เสียค่าเข้าชม สถานีฯ มีบ้านพักและสถานที่ตั้งแคมป์บริการ โดยต้องทำจดหมายขออนุญาตล่วงหน้าถึง หัวหน้าสถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าลำปาว ตู้ ปณ. ๑๒๐ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ ๔๖๐๐๐ หรือผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช โทร. ๐ ๒๕๖๒ ๐๗๖๐ หรือ HYPERLINK "http://www.dnp.go.th" www.dnp.go.th
การเดินทาง มี ๒ สองเส้นทาง คือ เส้นทางไปเขื่อนลำปาว เมื่อถึงตัวเขื่อนจะมีทางเลียบสันเขื่อนไปอีกประมาณ ๔ กิโลเมตร หรือใช้เส้นทางกาฬสินธุ์-สหัสขันธ์ (ทางหลวงหมายเลข ๒๒๗) ประมาณ ๑๙ กิโลเมตร จะมีทางแยกซ้ายไปสวนสะออนอีกประมาณ ๕ กิโลเมตร
อำเภอท่าคันโท
วนอุทยานภูพระ ตั้งอยู่ตำบลนาตาล วนอุทยานภูพระเดิมเป็นป่าภูพระอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดงมูล ลักษณะเด่นคือเป็นภูเขาตั้งตระหง่านอยู่ใกล้ชุมชน ป่าภูพระเป็นป่าที่มีพรรณไม้ขึ้นหนาแน่น มีสัตว์ป่า ลำธาร และทิวทัศน์ที่สวยงาม พื้นที่หลังเขาเป็นที่ราบประดิษฐานพระพุทธรูปหินเก่าแก่
ภายในวนอุทยานมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้แก่
ผาเสวย เป็นลานหินผากว้าง มีความลึกของหน้าผาประมาณ ๑๕๐–๒๐๐ เมตร เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม
ถ้ำเสียมสับ เป็นถ้ำของหินผาที่มีลักษณะคล้ายเสียมที่ขุดลงหิน ซึ่งเมื่ออยู่หน้าปากถ้ำจะเห็นหินผาที่สูง
ถ้ำพระรอด เป็นถ้ำที่เกิดจากการแยกตัวของหินผา ภายในถ้ำมีทางเดินกว้างประมาณ ๒ เมตร ระยะทางประมาณ ๓๐ เมตร ในสมัยก่อนจะมีพระสงฆ์มาจำพรรษาและปฏิบัติธรรมเป็นประจำ
ผาหินแยก เป็นหน้าผาที่แยกตัวเป็นทางยาวประมาณ ๒๐ เมตร ลึก ๖ เมตร ซึ่งผาที่แยกตัวออกมาจะมีลักษณะเอนเอียงเป็นจุดที่สามารถชมทิวทัศน์ได้
ถ้ำพระ เป็นถ้ำที่มีความลึกประมาณ ๓๐ เมตร ปากถ้ำกว้าง ๑๕ เมตร มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่และราษฎรในท้องถิ่นต่างให้ความเคารพสักการะเป็นอย่างยิ่ง ในช่วงสงกรานต์จะมีงานเดินขึ้นภูพระเพื่อสรงน้ำพระเป็นประจำทุกปี
การเดินทาง จากอำเภอท่าคันโท ใช้ทางหลวงหมายเลข ๒๒๙๙ กิโลเมตรที่ ๑๖ นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางโดยรถประจำทางสายอุดรธานี-กาฬสินธุ์ ลงที่วัดสว่างถ้ำเกิ้งซึ่งอยู่บริเวณหน้าวนอุทยานฯ
อำเภอสหัสขันธ์
พิพิธภัณฑ์สิรินธร และแหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว อยู่บริเวณเชิงเขาภูกุ้มข้าว
วัดสักกะวัน สามารถเดินทางโดยใช้เส้นทางกาฬสินธุ์-สหัสขันธ์ (ทางหลวงหมายเลข ๒๒๗) ประมาณ ๒๕ กิโลเมตร ก่อนถึงสหัสขันธ์ ๒ กิโลเมตร เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๓ พระครูวิจิตรสหัสคุณ เจ้าอาวาสวัดสักกะวัน ได้พบกระดูกชิ้นใหญ่ในบริเวณวัด แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นฟอสซิลกระดูกไดโนเสาร์และได้นำกระดูกที่พบเก็บรักษาไว้ที่วัด ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ นักธรณีวิทยาและคณะจากกรมทรัพยากรธรณีได้เดินทางมาสำรวจธรณีวิทยาบริเวณนี้ พบกระดูกดังกล่าวจึงได้แจ้งว่าเป็นซากฟอสซิลกระดูกไดโนเสาร์ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ คณะสำรวจธรณีวิทยาไทย-ฝรั่งเศสได้นำกระดูกเหล่านั้น ๓ ท่อนไปศึกษาพบว่าเป็นส่วนกระดูกขาหน้าของไดโนเสาร์ซอโรพอด (Sauropod) จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๓๗ จึงได้ทำการสำรวจขุดค้นและอนุรักษ์อย่างเป็นระบบ พบซากไดโนเสาร์จำนวนมากในชั้นหินเสาร์ขัว ยุคครีเตเซียสตอนต้น อายุประมาณ ๑๓๐ ล้านปี แหล่งขุดค้นแห่งนี้พบกระดูกไดโนเสาร์ชนิดกินพืชจำนวนมากกว่า ๗๐๐ ชิ้น สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชิ้นส่วนของไดโนเสาร์ประมาณ ๗ ตัว และในพิพิธภัณฑ์ยังมีซากปลาโบราณพันธุ์ใหม่ของโลกอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เป็นปลาน้ำจืดมีชื่อว่า “เลปิโดเทส” ยาวประมาณ ๓๐–๖๐ เซนติเมตร อยู่ในยุคมีโซโซอิค หรือ ๖๕ ล้านปีที่แล้ว คาดว่าบริเวณที่พบคงเป็นบึงขนาดใหญ่แล้วเกิดภัยแล้งทำให้ปลาตายและถูกซากโคลนทับไว้กลายเป็นฟอสซิลจนถึงปัจจุบัน นับว่าภูกุ้มข้าวเป็นแหล่งที่พบซากฟอสซิล
กระดูกไดโนเสาร์แหล่งใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย เปิดให้เข้าชมฟอสซิลไดโนเสาร์ และนิทรรศการเรื่องราวเกี่ยวกับไดโนเสาร์ทุกวัน ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐–๑๗.๐๐ น. โดยไม่เสียค่าเข้าชม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์วิจัยไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว กรมทรัพยากรธรณี อำเภอสหัสขันธ์ โทร. ๐ ๔๓๘๗ ๑๐๑๔, ๐ ๔๓๘๗ ๑๓๙๔

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น